Dnb Thailand

ในโลกธุรกิจที่การตัดสินใจทุกอย่างต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูล การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของคู่ค้า ซัพพลายเออร์ หรือลูกค้า ถือเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ สำหรับผู้ประกอบการในประเทศไทย สองเครื่องมือที่มักถูกนึกถึงคือ DBD DataWarehouse+ ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และ D&B Data Cloud ผ่านบริการ D-U-N-S® Number
คำถามสำคัญคือ ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร? และเมื่อไหร่ที่ข้อมูลฟรีจากภาครัฐนั้น "ดีพอ" แล้ว และเมื่อไหร่ที่คุณจำเป็นต้อง "ลงทุน" เพื่อเข้าถึงข้อมูลระดับโลก? บทความนี้จะเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจน เพื่อให้คุณเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางธุรกิจของคุณที่สุด
ภาคที่ 1: DBD DataWarehouse+ – เครื่องมือสามัญประจำบ้านสำหรับธุรกิจไทย
DBD DataWarehouse+ คือฐานข้อมูลนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทยทั้งหมด ให้บริการโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เปรียบเสมือน "ทะเบียนบ้าน" ของทุกบริษัทในประเทศ ที่ให้ข้อมูลพื้นฐานสำคัญและเชื่อถือได้
ควรใช้ DBD DataWarehouse+ เมื่อไหร่?
ต้องการตรวจสอบการมีตัวตนของบริษัทในไทย: นี่คือขั้นตอนแรกสุดและสำคัญที่สุดสำหรับคนทำธุรกิจ คุณสามารถใช้เลขทะเบียนนิติบุคคลหรือชื่อบริษัท เพื่อตรวจสอบว่าบริษัทนั้นมีอยู่จริง จดทะเบียนถูกต้อง ชื่อตามกฎหมายหรือไม่
ดูข้อมูลงบการเงินเบื้องต้น: ระบบให้คุณเข้าถึงข้อมูลงบการเงินย้อนหลัง เช่น งบกำไรขาดทุน งบแสดงฐานะทางการเงิน และอัตราส่วนทางการเงินเบื้องต้นได้
เช็คข้อมูลกรรมการและทุนจดทะเบียน: สามารถตรวจสอบรายชื่อกรรมการปัจจุบันและทุนจดทะเบียน เพื่อประเมินขนาดและความน่าเชื่อถือเบื้องต้นของบริษัทได้
ค้นหาคู่ค้าทางธุรกิจในประเทศ: ระบบมีฟังก์ชันให้ค้นหาธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือที่เกี่ยวข้องกัน เพื่อหาซัพพลายเออร์หรือลูกค้าใหม่ ๆ ภายในประเทศ
สรุป DBD DataWarehouse+ เป็นเครื่องมือที่สำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำ Due Diligence (การตรวจสอบสถานะ) กับ บริษัทคู่ค้าในประเทศไทย เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้และไม่มีค่าใช้จ่าย เหมาะสำหรับการคัดกรองเบื้องต้นและตรวจสอบข้อมูลพื้นฐาน
ภาคที่ 2: D&B Data Cloud และ D-U-N-S® Number – พาสปอร์ตสู่เวทีการค้าโลก
D&B Data Cloud คือฐานข้อมูลธุรกิจขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมบริษัทกว่า 300 ล้านแห่งทั่วโลก โดยแต่ละบริษัทจะถูกระบุตัวตนด้วยรหัสมาตรฐานสากล 9 หลักที่ไม่ซ้ำกัน เรียกว่า D-U-N-S® Number ซึ่งทำหน้าที่เปรียบเสมือน "บัตรประชาชนสากลสำหรับธุรกิจ"
ถึงเวลาต้องลงทุนใน D&B เมื่อไหร่?
เมื่อคุณจะทำการค้ากับต่างประเทศ: นี่คือจุดแตกต่างที่ชัดเจนที่สุด เมื่อข้อมูล DBD ให้ข้อมูลได้เฉพาะบริษัทในไทย แต่ถ้าคุณจะส่งออกสินค้าไปเยอรมนี หรือนำเข้าวัตถุดิบจากเวียดนาม D&B คือเครื่องมือเดียวที่ช่วยให้คุณตรวจสอบความน่าเชื่อถือของบริษัทเหล่านั้นได้
เมื่อต้องการข้อมูลที่ "ลึกกว่า": D&B จะให้ข้อมูลเชิงวิเคราะห์และพยากรณ์ (Predictive Analytics) เพิ่มเติมจากข้อมูลของ DBD เช่น D&B Credit Platform ที่ช่วยให้บริษัททุกขนาดจัดการความเสี่ยงด้านเครดิต ด้วยการใช้ประโยชน์จากรายงานข้อมูลเครดิต บริษัทจะมีข้อมูลที่สามารถนำไปสู่การตัดสินใจด้านสินเชื่อได้อย่างมั่นใจและจัดการเครดิตการค้าของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
เมื่อต้องการเห็น "ภาพรวม" ของเครือข่ายธุรกิจ: คู่ค้าของคุณอาจเป็นเพียงบริษัทลูกของบริษัทยักษ์ใหญ่ D&B สามารถแสดงให้เห็นโครงสร้างความสัมพันธ์ของบริษัทในเครือ (Corporate Family Tree) ได้ ทำให้คุณเห็นภาพรวมความเสี่ยงและโอกาสที่เชื่อมโยงกันทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้อมูลทั่วไปให้ไม่ได้
เมื่อ "ถูกกำหนด" โดยแพลตฟอร์มระดับโลก: หากคุณต้องการนำแอปพลิเคชันขึ้น Apple App Store, ขายสินค้าบน Walmart หรือเป็นซัพพลายเออร์ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google คุณจะถูก "บังคับ" ให้ต้องมี D-U-N-S® Number เพราะเป็นมาตรฐานที่องค์กรเหล่านี้ใช้ในการคัดกรองและยืนยันตัวตนคู่ค้า
เมื่อต้องการขอสินเชื่อเพื่อการค้าระหว่างประเทศ: สถาบันการเงินหลายแห่งใช้ D-U-N-S® Number และรายงานเครดิตของ D&B ในการประเมินความน่าเชื่อถือและความมั่นคงทางการเงินของธุรกิจ เพื่อพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้รวดเร็วขึ้น
ไม่ใช่เรื่องของ "ดีกว่า" แต่เป็นเรื่องของ "ความเหมาะสม"
การเลือกระหว่าง DBD DataWarehouse+ และ D&B Data Cloud ไม่ใช่การเลือกของที่ดีกว่า แต่คือการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับ "งาน" ที่คุณต้องการทำให้สำเร็จ
สำหรับทุกธุรกิจในไทย: การใช้ DBD DataWarehouse+ คือมาตรฐานขั้นพื้นฐานที่ต้องทำ เพื่อตรวจสอบคู่ค้าในประเทศ
สำหรับธุรกิจที่ต้องการเติบโตสู่สากล: การลงทุนใน D-U-N-S® Number และบริการของ D&B ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย แต่คือการลงทุนเพื่อ "ลดความเสี่ยง" และ "เปิดประตู" สู่โอกาสทางธุรกิจทั่วโลก มันคือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจเมื่อต้องก้าวออกจากตลาดในประเทศไทย
ดังนั้น แทนที่จะถามว่าควรใช้อะไรดีกว่า ลองถามตัวเองว่า "วันนี้ธุรกิจของคุณอยู่ที่ไหน และวันข้างหน้าคุณอยากจะไปที่ไหน?" คำตอบนั้นจะชี้ทางให้คุณเลือกใช้เครื่องมือที่ถูกต้องได้อย่างแน่นอน